เริมที่อวัยะวะเพศ (Genital herpes) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) โดยทั่วไปจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือบริเวณริมฝีปาก เริมมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดที่ 1 มีชื่อว่า HSV-1 มักทำให้เกิดรอยโรคที่บริเวณปากและริมฝีปาก บางครั้งเรียกว่า เริมที่ปาก ส่วน ชนิด 2 ที่เรียกว่า HSV-2 ชนิดที่ 2 เริมชนิดนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยโรคบริเวณอวัยวะเพศ เริมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรงและส่วนใหญ่มักจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย โรคเริมที่อวัยะวะเพศสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งเพศหญิงและเพศชายโดยเพศหญิงจะมีความเสี่ยงต่อโรคมากกว่าเพศชาย รวมทั้งสตรีตั้งครรภ์ที่มีรอยโรคอาจแพร่เชื้อไปสู่ทารกได้ในระหว่างการคลอดผ่านทางช่องคลอด
อาการของเริมที่อวัยะวะเพศ
คนส่วนใหญ่มักไม่มีอาการและไม่ทราบว่ามีเชื้อจนกว่าไวรัสจะแสดงตัว อาการของเริมที่อวัยวะเพศจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลโดยอาการอาจปรากฎได้หลายครั้งในระยะเวลาหลายปี บางคนอาจจะเป็นได้หลายครั้งในหนึ่งปี หรือบางคนอาจจะไม่แสดงอาการเลย สำหรับอาการที่พบมีดังต่อไปนี้
- มีอาการแสบหรือคันบริเวณอวัยะวะเพศหรือบริเวณทวารหนัก
- เกิดตุ่มแดงหรือตุ่มพองขนาดเล็กแล้วแตกเป็นแผล และแผลจะตกสะเก็ดเมื่อหาย
- ปัสสาวะแสบขัด
- มีอาการคล้ายเวลาเป็นไข้ เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว มีไข้
สาเหตุของเริมที่อวัยะวะเพศ
สาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า ไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) สามารถแพร่เชื้อผ่านการสัมผัส การมีเพศสัมพันธ์ หรือจากติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายสามารถกลับมาเป็นซ้ำอีกได้หลายครั้ง เชื้อเริมที่อวัยวะเพศ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่
- เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส ชนิดที่ 1 (Herpes simplex virus type 1 : HSV-1) มักจะทำให้เกิดอาการเริมที่ปาก มีตุ่มน้ำขนาดเล็ก และเกิดขึ้นที่บริเวณใกล้กับปาก แต่สามารถกระจายไปยังบริเวณอวัยวะเพศได้หากมีการร่วมเพศทางปาก
- เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส ชนิดที่ 2 (Herpes simplex virus type 2 : HSV-1) เป็นสาเหตุหลักของการเกิด เริมที่อวัยวะเพศ ติดต่อโดยตรงจากการมีเพศสัมพันธ์และการสัมผัสแบบแนบเนื้อ
วิธีการรักษาเริมที่อวัยะวะเพศ
โรคเริมยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและบรรเทาอาการได้ หากไม่แสดงอาการของโรค ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ การรักษาโรคเริม รักษาโดยการรับประทานต้านไวรัส ได้แก่กลุ่มยา ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) และยาวาลาไซโคลเวียร์(Valacyclovir) เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบให้หายเร็วขึ้น ลดความถี่ของการกลับมาเป็นซ้ำ และบรรเทาความรุนแรง ลดระยะเวลาอีกทั้งลดโอกาสการแพร่เชื้อไวรัสสู่ผู้อื่น ซึ่งหากกำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์โดยทันทีเพื่อที่แพทย์จะได้สั่งจ่ายยาต้านไวรัสชนิดอื่นที่สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยต่อทารกในครรภ์
การดูแลรักษาตัวเองหากติดเชื้อเริมทำได้โดยรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รักษาความสะอาดบริเวณที่ ติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นตุ่มและควรล้างมือบ่อยๆเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยง การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน และหากหากกำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยทันที อย่างไรก็ตามหากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าได้รับเชื้อควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคเพิ่มเติมรวมทั้งการได้รับรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
ผู้แปลและเรียบเรียง
วรางคณา พรมจักร์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร
ปัจจุบันเป็น Freelance Translator และเป็นนักแปลและล่ามอาชีพสายกฎหมายและการแพทย์