งูกัดเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นราว 7.9 คนต่อหนึ่งแสนคนต่อปี และบ่อยครั้งที่เมื่อเกิดงูกัด จะยังไม่ทราบทันทีว่า งูที่กัดเป็นงูอะไร เนื่องจากไม่สามารถหางูที่กัดเจอ เพราะแพทย์จะทราบได้ก็ต่อเมื่อจะต้องนำงูที่กัดนั้นมาด้วย อย่างไรก็ตาม งูกัดส่วนใหญ่ในเมืองไทยมักเป็นงูไม่มีพิษ ในบางรายอาจจะเห็นรอยไหม้หรือบวม รอบบริเวณรอยกัดภายใน 5 นาทีหลังงูกัด
อาการและอาการแสดงเมื่อโดนงูไม่ทราบชนิดกัด
- อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดปนออกมากับอุจจาระหรือปัสสาวะ
- วิงเวียนศีรษะ มึนงง มีอาการอ่อนแรง ล้มพับและช็อก
- เลือดออกภายในช่องปาก จมูก และบาดแผลต่าง ๆ
- กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการหายใจติดขัดได้
ข้อควรปฏิบัติ
ผู้ที่โดนกัดควรพบแพทย์ ณ สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แม้ว่าจะมีอาการดังที่กล่าวไว้ข้างต้นเพียงเล็กน้อยก็ตาม เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่างูได้พ่นพิษผ่านรอยกัดนั้นหรือไม่ หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรเข้ารับการรักษาเมื่อใด
ควรโทรหาแพทย์ทันที หากผู้ป่วยเกิดอาการดังต่อไปนี้
- พบรอยบวมเลือด หรือม่วงคล้ำ บริเวณรอยกัด
- มีรอยไหม้หรือรู้สึกปวดบริเวณรอยกัด
- พบรอยกัด (รอยเขี้ยว) หนึ่งหรือสองรอย
- เกิดอาการบวมบริเวณที่โดนกัด
- ผู้ที่โดนกัดมีอาการป่วย หรือกรณีที่ท่านคิดว่าจำเป็นต้องพบแพทย์
การป้องกัน
- ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะให้สัญญาณล่วงหน้า ณ จุดรกทึบ งูมักจะหลีกหนี หากได้รับสัญญาณเตือนที่เพียงพอ
- หากท่านเดินป่าบ่อย ควรจัดซื้อชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับเหตุงูกัด และไม่ควรใข้อุปกรณ์ชุดเก่า
- หลีกเลี่ยงบริเวณกองหินหรือกองไม้ต่าง ๆ ที่งูอาจซ่อนตัวอยู่
- เลี่ยงการสัมผัสหรือเล่นกับงู แม้งูส่วนใหญ่จะไม่มีพิษก็ตาม หากท่านไม่ได้รับการฝึกอย่างถูกต้องมาก่อน
- อย่าแหย่งูเล่น เพราะอาจทำให้งูฉกได้
- ควรสวมกางเกงขายาวและรองเท้าบูท หากต้องเดินเข้าพื้นที่ที่มีงูอยู่
อ่านเพิ่มเติม:
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด
เกี่ยวกับผู้แปล
ชวลิต สุนันทวดี จบการศึกษาปริญญาตรีรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีความชื่นชอบภาษาต่างประเทศ
มีความเชื่อว่าภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารอันทรงพลัง ในการขับเคลื่อนโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายมิติ ทั้งทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ และยังเป็นหนทางสู่สันติและเสรีภาพสำหรับพลเมืองโลก
ปัจจุบัน เป็นนักแปลและล่ามอาชีพสายกฎหมายและการแพทย์